วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2552

2. สู่ดวงจันทร์ (อ่านก่อนใคร)

เป็นครั้งแรกที่เขาทั้งสองต้องมาอยู่ในห้วงอวกาศ และต้องอยู่นอกยานอีกด้วย สภาพไร้น้ำหนักที่ไม่คุ้นเคย ดูจะยากพอตัวสำหรับมือใหม่ แต่สำหรับนักสู้อย่างพวกเขาอุปสรรคที่อยู่เบื้องหน้าดูจะเป็นเพียงทางผ่านอย่างเร็วๆ เท่านั้น

ทรงเวทย์ออกไปประจำที่แล้ว ดูเขาจะแคล่วคล่องกว่า เป็นเพราะชุดเกราะชีวภาพนั้นไม่ได้เป็นส่วนเกินของร่างกายแต่มันถูกสร้างขึ้นจากจินตภาพแห่งจิต ในขณะที่สิมิลันอยู่ในชุดอวกาศที่เทอะทะ งุ่มง่ามเหมือนคนอ้วนพุงใหญ่กำลังเดินอย่างช้าๆ บนพื้นผิวของยานด้านนอก

ภาพเบื้องหน้าที่อยู่ห่างไกลออกไปคือดาวโลกสีฟ้าสวยงาม มันยิ่งสวยยิ่งขึ้นไปอีกเพราะแสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องไปสะท้อนยังพื้นผิวโลกตัดกับความมืดดำของอวกาศที่กว้างใหญ่สุดจะพรรณนาได้ ทั้งทรงเวทย์และสิมิลันจึงเผลอตัวชั่วชณะหนึ่งเพื่อชื่นชมโลกที่เป็นแหล่งกำเนิดของพวกเขา โลกที่พวกเขากำลังปกป้องจากเหล่ามังกรร้ายที่หมายจะยึดครอง

การปกป้องอาจเกิดจากจิตใต้สำนักแห่งความเป็นเจ้าของ หรือของที่ตนรักใคร่หวงแหน แต่สำหรับสิมิลันแล้วไม่ใช่.. เขาถือกำเนิดขึ้นและถูกเลือกเป็นพิเศษ เพื่อภารกิจที่ดูยากยิ่งนี้โดยเฉพาะ.. มาบัดนี้สิมิลันกำดาบฟ้าในกำมืออย่างแน่น เจตนาที่มุ่งมั่นถูกหล่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว..

ทุกอย่างพร้อมแล้ว ทรงเวทย์เข้าประจำที่ เขาใช้สองแขนยึดแว่นขนาดพอตัวซึ่งใช้เป็นเลนส์สำหรับรวมแสงอาทิตย์ไว้อย่างแน่นหนา และขาทั้งสองประดุจแม่เหล็กดูดยึดติดกับพื้นผิวยานที่หนาเป็นฟุตๆ
เป้าหมายของการโจมตีกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้.. นั่นคือยานอวกาศรูปทรงเหมือนมังกรขนาดใหญ่กำลังใกล้เข้ามา

เสียงหึ่งๆ ของเครื่องจักรเหมือนเสียงคำรามของมังกร หากเป็นมนุษย์ธรรมดาได้ยินก็จะทำให้คนๆ นั้นสั่นสะท้านได้จนถึงขั้นขนหัวลุกได้

“พร้อมหรือยัง สิมิลัน” ทรงเวทย์ตะโกนถาม

“พร้อมแล้วพี่.. พี่ต้องระวังให้ดีนะ ผมยังไม่แน่ใจว่าจะควบคุมพลังแห่งเทพนี้ได้เหมือนอยู่บนโลกหรือเปล่า”

“ตอนนี้ต้องเสี่ยงแล้ว ปล่อยลำแสงมาเลย”

สิมิลันยกดาบฟ้าขึ้น และส่งพลังจิตไปยังดาบ.. ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติได้เกิดขึ้น ดาบเรืองแสงสว่างขึ้น เหนือดาบขึ้นไปบังเกิดสายฟ้า เหมือนฟ้าผ่าเป็นเส้นยึกยัก สิมิลันเร่งความคิดให้พลังแห่งสายฟ้าเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น ขีดระดับของแสงแปรแปลี่ยนไปในชั่วพริบตาจากแสงสีขาวกลายเป็นแสงสีแดง และเป็นแสงสีฟ้า

เมื่อรับรู้ถึงพลังอันเต็มเปี่ยมของลำแสงแล้ว สิมิลันก็ชี้ปลายดาบมายังแว่นรวมแสงที่ทรงเวทย์ยึดเอาไว้อยู่แล้วปล่อยพลังอย่างเต็มที่

สายฟ้าที่อยู่เหนือดาบฟ้าทำตามประสงค์ของเจ้าของ มันพุ่งตรงตามแรงสบัดของวงแขน..
ลำแสงมุ่งตรงไปยังเลนส์แก้ว..

แสงสว่างพลันบังเกิดและจุดรับแสง..

ทรงเวทย์รับรู้ถึงความร้อนและควารุนแรงของลำแสงสายฟ้านั่น หากลำแสงนั่นมุ่งมายังเขา เขาคงไหม้เป็นจุณอย่างแน่นอน

สิ่งที่เขาคาดว่าจะเกิดก็เป็นจริง เลนส์ทำหน้าที่ตามกฎเกณฑ์ ลำแสงใหม่หลังเลนส์กำลังเดินทางตามทิศที่กำหนดของทรงเวทย์

ลำแสงที่เกิดขึ้นใหม่จะใช้ได้อย่างที่พวกเขาหวังหรือไม่ ขึ้นอยู่กับวัตถุเป้าหมายที่จะรองรับพลัง และจะเป็นผู้สรุปคำตอบตามทฤษฎีที่ทั้งสองได้กระทำ..

ชาวมังกรหลายร้อยตนอยู่ในยานมังกร พวกนี้เป็นชาวมังกรรุ่นใหม่ที่เป็นลูกครึ่งเฉกเช่นเดียวกับศักดิ์สิทธิ์นาค มีความจำกัดหลายอย่างเช่นเดียวมนุษย์ธรรมดา แต่ที่เหนือกว่าก็เป็นเพียงว่าพวกนี้กลายร่างเป็นมังกรได้
ผู้ควบคุมปฏิบัติการในอวกาศครั้งนี้คือ “ยาคุตส์” ครูฝึกชาวมังกรเชื้อสายรัสเซีย กลายเป็นหัวหน้าหน่วยพิเศษประจำยานรบขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่วางแผนดักจับศักดิ์สิทธิ์นาคที่กำแพงเมืองจีน
กองกำลังชาวมังกรในอวกาศถูกส่งมาจากโลก จากฐานลับเวอร์โกยันส์ตอนเหนือของรัสเซียเป้าหมายของภารกิจในอวกาศคือการเดินทางไปยัง “ดาวอังคาร”
ยาคุตส์ได้รับมอบหมายในภารกิจนี้มานานแล้วจนทุกอย่างพร้อม

ถ้ำมังกรหิมะ
เทือกเขาเวอร์โกยันส์
ตอนเหนือของรัสเซีย

“คำสั่งจากจอมอสูรโดยตรง มอบหมายให้เจ้าและพวก ค้นหาของสำคัญของจอมอสูร..” วาจินาสออกคำสั่งโดยอ้างชื่อของจอมอสูร เพื่อการน้อมรับแบบไม่มีเงื่อนไขหรือความกังขาใดๆ ยาคุตส์และสมุนตัวอื่นๆ นั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเพื่อรับคำสั่งสำคัญ “..เจ้าจะได้เลื่อนขั้นอีก หากภารกิจนี้สำเร็จตามเป้าหมาย”
‘คำสั่งจากจอมอสูรโดยตรง’ ยาคุตส์นึกกระหยิ่มดีใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นภารกิจพิเศษจริงๆ นับตั้งแต่ที่เขาจับศักดิ์สิทธิ์นาคมาได้คราวนั้น ก็ได้ความดีความชอบไปทั้งทีม ยิ่งคราวนี้อีก เขาต้องเร่งรีบปฏิบัติภารกิจนี้ให้สำเร็จโดยเร็ว

ทีมพิเศษของเขาได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษในสภาพอากาศที่หนาวเย็นของแดนหิมะ แม้ว่าพวกมังกรจะมีผิวหนังทนทานเป็นพิเศษ แต่อากาศที่หนาวเหน็บของดาวอังคาร

ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์สีแดงที่มีบรรยากาศเบาบางและหนาวเย็น ที่ขั้วของดาวมีสีขาวเหมือนน้ำแข็ง อากาศไม่มีออกซิเจนจึงใช้หายใจไม่ได้ และมีพายุฝุ่นขนาดมหึมาเสมอ

ชื่อของดาวถูกตั้งตามเทพเจ้ามาร์ส (Mars) เทพเจ้าแห่งสงครามของโรมัน มีดาวบริวารสองดวงคือ ดีมอส และโฟบอส

ดาวอังคารมีขนาดเล็กกว่าโลก แต่การโคจรของดาวอังคารทำให้ ๑ วันของดาวอังคารนานกว่าโลกเพียง ๔๑ นาทีเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ถึง ๖๘๗ วัน (เทียบตามเวลาของโลก)

พวกชาวมังกรก็มีตำนานของตนเองเฉกเช่นเดียวกับตำนานของมนุษย์โลก แต่แตกต่างตรงที่พวกมังกรจะเป็นพระเอกและมนุษย์โลกเป็นผู้ร้ายที่เหล่ามังกรจำต้องทำลายและยึดครองโลกมาเป็นของเผ่าของตน
และดาวอังคารก็คือสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกเล่าขานมานมนาน ซ่อนเรื่องราวแฝงเร้นรวมกับเรื่องเล่าของมนุษย์โบราณและสูญหายไปจากความทรงจำเพราะภาษาที่ยากจะเรียนรู้

พวกเขาเชื่อกันว่าดาวอังคารคือบ้านเกิดของจอมอสูรผู้เคยเป็นอดีตจอมเทพผู้งดงามสง่า เคยเป็นดาวที่สวยงามและสงบสุข บนดาวดวงนี้จะเต็มไปด้วยเสียงเพลงและการฉลอง เพราะผู้นำของดาวดวงนี้คือหัวหน้าคณะนักร้องแห่งจักรวาล

แต่สงครามได้แปรเปลี่ยนดาวดวงนี้ให้กลายเป็นสีแดงดั่งโลหิต ความลุ่มหลงในตัวตนของผู้นำก่อให้การคำแช่งสาป ดวงดาวที่เคยมีแต่ความยินดีก็กลับกลายเป็นดาวที่มีแต่ความโศกเศร้า
เคยมีการสำรวจพื้นผิวของดาวพบว่ามีภาพประหลาดเกิดขึ้น นั่นคือรูปใบหน้าบนพื้นดาว มีชื่อว่า “Face on Mars” ซึ่งก็คือสิ่งที่ยาคุตส์และพวกต้องไปนำใบหน้านั่นกลับมายังโลกตามคำสั่งของวาจินาสหัวหน้าผู้คุมกฎคนใหม่ เพราะมีความเชื่อกันว่านั่นคือใบหน้าเริ่มแรกของจอมเทพผู้เริงร่าก่อนจะกลายมาเป็นจอมอสูร พลังแห่งเทพอาจยังคงสถิตอยู่ก็เป็นได้..

การฝึกฝนเริ่มจากการยืนนิ่งๆ อยู่ท่ามกลางหิมะทั้งวันทั้งคืนติดต่อกันกว่า ๒ วัน โดยไม่กินและไม่ดื่ม และสิ่งที่ห้ามอย่างเด็ดขาดคือ การแปลงร่างเป็นมังกร เป็นคำสั่งพิเศษที่ไม่มีเหตุผลรองรับ แต่พวกเขาทุกตนก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

พวกเขาผ่านการทดสอบแบบนี้มากกว่า ๖ เดือนก่อนภารกิจจริง ซึ่งต้องฝึกการเคลื่อนไหวในห้องที่จำลองบรรยากาศให้อยู่ในสภาพสูญญากาศ

ฝึกขับยานรบขนาดเล็ก ที่มีที่นั่งโดยสารเพียงที่นั่งเดียว และบางตนก็ฝึกขับยานอวกาศขนาดใหญ่ด้วย และแน่นอนว่ากัปตันอวกาศคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก “ยาคุตส์” มังกรเชื้อสายรัสเซียคนเก่งมือดีที่สุดของกลุ่ม

ยาคุตส์ นำยานอวกาศขนาดใหญ่ออกจากโลกที่รัสเซียในวันเดียวกันกับที่พวกผู้วิเศษวางแผนสกัดกั้นการปรากฏตัวของมังกรใต้พิภพเพียงไม่กี่นาที หลังจากที่ยานมังกรทะยานสู่ห้วงอวกาศปฏิบัติการแรกของเหล่าผู้วิเศษก็เริ่มขึ้นที่อิตาลี

พวกมังกรนึกไม่ถึงว่าพวกมนุษย์ผู้มีอำนาจวิเศษพวกหยิบมือจะมีความคิดลึกซึ้งถึงขนาดนี้ได้ พลังรัศมีม่วงของศักดิ์สิทธิ์นาคคือสัญญาณที่ชัดเจน พวกมังกรรู้ดีถึงพลังอำนาจนี้ การร่วมมือของศักดิ์สิทธิ์นาคกับผู้วิเศษสร้างความขุ่นเคืองให้กับผู้นำชาวมังกรเป็นอย่างยิ่ง

พวกผู้วิเศษจัดการสกัดกั้นมังกรใต้พิภพได้ถึง ๔ ตัว และที่ผิดพลาดก็คือที่อเมริกา พวกมังกรตรวจสอบแหล่งที่มาของพลังแสงจึงรู้ว่ามันมาจากนอกโลก ซึ่งทำให้ ยาคุตส์ ซึ่งนำยานออกสู่อวกาศแล้วได้รับคำสั่งพิเศษใหม่ล่าสุดคือการทำลายสถานีอวกาศที่ปล่อยลำแสงมายังโลก

ดังนั้นสถานีอวกาศ “ฮิวจิน” จึงถูกโจมตีเป็นแห่งแรก แต่สมุทตราก็สามารถพาทั้งสถานีอวกาศหลบหนีการโจมตีมาได้อย่างหวุดหวิดโดยการออกไปนอกยานและขยายร่างให้ใหญ่โตจนหอบยานลงมายังพื้นโลกได้ ซึ่งนับว่าเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งเพราะสมุทตราเพิ่งเคยออกนอกอวกาศเป็นครั้งแรก แต่ที่ผ่านมาได้เพราะเขาสามารถกลั้นหายใจได้นานกว่ามนุษย์ธรรมดาและก็มีเวทมนตร์พิเศษ..

เป้าหมายการทำลายล้างต่อไปคือสถานีอวกาศ “มูนิน” ที่บากูโมถ่ายประจำอยู่

สิ่งที่ทำให้ยาคุตส์ประหลาดใจก็คือ ลำแสงสลายร่างของพวกเขาไม่สามารถใช้กับกระสวยอวกาศได้ มีพลังลึกลับบางอย่างห่อหุ้มยานเอาไว้ และถูกตอบโต้ด้วยปืนเลเซอร์จนยานเสียหายบางส่วน จึงต้องถอยมาตั้งหลักก่อน เพื่อให้พ้นจากรัศมีของแสงเลเซอร์ แล้วจึงกลับไปโจมตีเป็นครั้งที่สอง

เหตุที่ครั้งแรกยาคุตส์ไม่ใช้รังสีทำลายโลหะเพราะเป็นคนที่ชอบเทคโนโลยีของมนุษย์โดยเฉพาะยานอวกาศ อาจเป็นเพราะพ่อที่เป็นมนุษย์คือหนึ่งในนักบินอวกาศของรัสเซีย ดังนั้นความทรงจำความประทับใจเกี่ยวกับสถานีอวกาศยังคงฝังลึกในจิตใจ เขาจึงเลือกที่ใช้ลำแสงทำลายแค่เซลร่างกาย เนื้อเหยื่อที่มีชีวิต จึงมีผลให้นักบินอวกาศที่อยู่ในสถานีอวกาศสูญสลายไปหมด ยกเว้นบากูโมถ่ายที่มีแบเรียประหลาดปกป้องเขาไว้จากรังสีมังกรโดยที่ตัวโมถ่ายเขาเองก็ยังไม่รู้ถึงพลังพิเศษของตนเอง

ยาคุตส์พึงพอใจกับการโจมตีในรอบสอง เพราะยานรบขนาดใหญ่ของเขาสามารถฉีกกระสวยอวกาศจนแหลกเป็นจุล ซึ่งครั้งแรกมีพลังประหลาดป้องกันแถมยังยิงเลเซอร์ใส่ยานของเขาจนได้รับความเสียหาย
แต่การกระทำของมนุษย์ที่ทำให้มังกรนักรบอย่างยาคุตส์คาดไม่ถึงและประหลาดใจ ลำแสงสลายร่างซึ่งทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเครื่องมือก็ตรวจสอบแล้วว่าไม่หลงเหลือสิ่งมีชีวิตบนสถานีอวกาศ แล้วคนพวกนี้มาจากไหน

เขามองเห็นมนุษย์สองคนออกมาจากสถานีอวกาศและคนหนึ่งสามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วประดุจนกที่บินได้ ส่วนอีกคนอยู่ในชุดอวกาศซึ่งดูไม่น่าจะมีอันตรายใดๆ แต่เมื่อคนสวมชุดอวกาศเรียกอาวุธของเขาออกมา ซึ่งเป็นดาบยาวรูปทรงประหลาด

สายฟ้าที่ปรากฏขึ้นเหนือดาบจึงทำให้ยาคุตส์รู้ทันทีเลยว่าทั้งสองหาใช้มนุษย์ธรรมดาไม่ เขาสังการให้เจ้าหน้าที่ควบคุมยานเปิดระบบป้องกันตนเองเพื่อไม่ให้ผิดพลาดซ้ำสองจากการโจมตีที่คาดไม่ถึง แต่ลำแสงที่ผ่านเลนส์ขนาดใหญ่นั้นมาเร็วเกินกว่าที่เจ้าหน้าที่จะรับคำสั่งและปฏิบัติตาม ลำแสงกำลังตรงมายังห้องบัญชาการด้านหน้าตรงที่ยาคุตส์นั่งบัญชาการยานอยู่

โชคดียังเป็นของเขา ยาคุตส์โยกคันบังคับยานให้กดหัวลง ลำแสงจึงผ่านเลยหัวยานไปอย่างฉิวเฉียด แต่ก็เพียงพ้นจากการโจมโดนเข้าอย่างจัง ลำแสงของมนุษย์เลยไปโดนส่วนกลางของยาน และทะลุทะลวงเข้าไปด้านใน เกิดการระเบิดขึ้นรุนแรง

“ตูม”

สิมิลันลดดาบลง เขามองดูผลงานชิ้นสำคัญที่ร่วมกับทรงเวทย์กลางอวกาศ

“วู้.. เยี่ยมไปเลยสิมิลัน วิธีนี้ใช้ได้ผลจริงด้วย” ทรงเวทย์ตะโกนลั่น ร้องด้วยเสียงอันดังแสดงความดีใจ

“เก่งมาก อ้ายสิมิลันมันเก่งขึ้นเยอะ” บากูโมถ่ายอยู่ภายในยานมองดูการต่อสู้จากกล้องวงจรปิด

“เอ๊ะ นั่นอะไร” ศักดิ์สิทธิ์นาคชี้ให้โมถ่ายดูอะไรบางอย่างบนจอรับสัญญาณ มีวัตถุขนาดเล็กกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้มากกว่าสิบจุด

พวกเขาดีใจได้ไม่ถึงนาที เพราะยานมังกรไม่ได้มีเพียงลำเดียวโดดๆ อย่างที่คิด..

ยานรบขนาดเล็กบินออกมาจากยานแม่ มีลักษณะเหมือนแมลงมีปีก ๔ ปีก คล้ายตั๊กแตนตัวใหญ่กำลังบินเข้ามาใกล้สถานีอวกาศ

เมื่อมาใกล้ในรัศมีการต่อสู้ พวกมันก็เริ่มโจมตีทันที ตัวที่ใกล้ที่สุดพ่นลูกไฟใส่ทรงเวทย์

“ฟุ่บ” ลูกไฟพุ่งออกจากส่วนปากแมลงยักษ์

“ตูม” ลูกไฟทำลายพื้นผิวด้านนอกของสถานีอวกาศจนเป็นรูโหว่ แต่ทรงเวทย์เหาะหลบไปได้ เขายังถือแว่นรวมแสงอยู่

ฤทธิ์ของลูกไฟทำให้สถานีสั่นไหว และเสียหายอย่างรุนแรง
“เฮ้ย ทำไมคราวนี้ไม่มีแบเรียป้องกันว่ะ อ้ายอัลฟ่า” บากูโมถ่ายโวยวายหันไปถามสมองกล

<<ระบบป้องกันเกิดจากตัวท่าน>>

“หมายความว่ายังไง”

<<จากการบันทึกข้อมูลและการประมวลผลแล้วพบว่า.. แบเรียป้องกันเกิดจากตัวของท่านเอง แบเรียจะทำปฏิกิริยาเมื่อมีการโจมตีที่ตัวท่านเท่านั้น>>

“อธิบายให้ชัดๆ หน่อย อย่างนี้กูไม่เข้าใจโว้ย”

“ดูที่จอภาพนั่นซิท่าน” คำพูดของศักดิ์สิทธิ์นาคขัดจังหวะและชักจูงให้โมถ่ายหันไปมองดูตาม
ในจอภาพมองเห็นสิมิลันที่อยู่ในชุดอวกาศกำลังถูกลูกไฟเผาตัวเขาอยู่ แต่เพียงครู่เดียวก็ปรากฏรัศมีเรืองแสงขึ้น ไฟที่ลุกท่วมกำลังลดลง ชุดอวกาศหายไปกลายเป็นชุดเกราะพิเศษที่เกิดขึ้นจากพลังอำนาจของดาบฟ้า

ลูกไฟจากปากแมลงยักษ์ยังคงโจมตีที่ตัวสิมิลันอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่สามารถทำอันตรายอะไรได้ ลูกไฟเบี่ยงออกไปเมื่อมาเข้าใกล้สิมิลัน

“สิมิลันมีแบเรียพิเศษ” ศักดิ์สิทธิ์นาคอธิบาย “..และตัวท่านก็มีเหมือนกัน”

แต่แบเรียป้องกันก็ป้องกันได้เฉพาะตัวสิมิลัน ไม่ได้ป้องกันสถานีอวกาศทั้งหมด ลูกไฟที่เบี่ยงออกไปจึงทำลายพื้นผิวโลหะของสถานี

แมลงยักษ์จึงเปลี่ยนการโจมตีที่บุคคลทั้งสองเป็นสถานีอวกาศแทน

สิมิลันใช้ดาบฟ้าปล่อยพลังไปยังแมลงยักษ์ที่เข้ามาโจมตี แต่ก็จัดการได้บางตัว

“บึม” แมลงยักษ์ระเบิดในอวกาศ เศษชิ้นส่วนปลิวว่อน

“ที่แท้มันก็เป็นเครื่องจักร” สิมิลันพึมพำ เพราะคราวแรกเขานึกว่ามันเป็นแมลงจริงๆ

ยานรบรูปทรงแมลงยังคงจ้องทำลายสถานีอวกาศ สิมิลันและทรงเวทย์ไม่สามารถทำอะไรมันได้ในระยะที่ห่าง ต้องรอจังหวะที่มันเข้ามาใกล้เท่านั้น

แม้ทรงเวทย์จะบินได้ แต่ในอวกาศเขาไม่มันใจ การหลบหลีกข้าศึกก็เชื่องช้ากว่าที่ควรจะเป็น สถานการณ์แปรเปลี่ยนอีกครั้ง ดูคราวนี้พวกเขาคงหาทางรอดลำบาก

มาบัดนี้ สถานีอวกาศเสียหายอย่างหนัก เพลิงได้ลุกไหม้ในส่วนที่ถูกลูกไฟ บากูโมถ่ายร้อนใจอยากจะช่วยรบ เขากำลังกระสับกระส่ายและร้อนใจ

“อ้ายศักดิ์สิทธิ์นาค..” เขาหันไปเพื่อจะปรึกษาหาหนทางออก “..เฮ้ย หายไปไหนว่ะ” แต่ศักดิ์สิทธิ์นาคไม่อยู่แล้ว เขาวางการูด้าริงไว้ที่โต๊ะข้างๆ โมถ่าย และออกไปด้านนอกอวกาศ

ศักดิ์สิทธิ์นาคกลายร่างเป็นมังกรขาวและเข้าโจมตีแมลงยักษ์โดยการใช้กงเล็บที่คมกริบจัดการกับศัตรูเบื้องหน้า ผลก็คือยานแมลงระเบิดทันทีที่มังกรขาวบินจากไป

ฉากการต่อสู้ในอวกาศเริ่มทวีความโกลาหลขึ้นเรื่อยๆ ยานมังกรยังคงส่งยานรบแมลงเพิ่มขึ้นมาอีก ๒ ชุดใหญ่ สถานการณ์ดูเลวร้ายกว่าเดิม

สถานีอวกาศใกล้จะถึงจุดจบ..

สิมิลันกำลังจนตรอก ไฟที่ไหม้บนพื้นผิวกำลังล้อมรอบเขาไว้..
..ทรงเวทย์ต้องสละแว่นรวมแสงทิ้งไปเพื่อความคล่องตัวในการหลบหลีก เขาตัดสินใจบินมายังสิมิลันและอุ้มสิมิลันออกจากเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ เมื่อออกห่างจากสถานีอวกาศได้เพียงเล็กน้อย

“บึมมมมม” สถานีอวกาศระเบิดเป็นจุล

ทรงเวทย์และสิมิลันโดนแรงระเบิดกระเด็นไปไกล และลอยคว้างอยู่ในอวกาศ
มีวัตถุขนาดเล็กบางอย่างพุ่งออกมาจากสถานีอวกาศได้ทันเวลาก่อนที่จะระเบิด และมุ่งหน้ามายังทั้งสองที่สลบลอยคว้างกลางอวกาศ มือกลยื่นออกมาจับทั้งสองเอาไว้ได้

ยานรบขนาดเล็กทยอยกลับยานแม่ หลังจากตรวจสอบแล้วไม่พบสิ่งมีชีวิตที่หลงเหลืออยู่

“เฮ้อ.. ทีนี้จะเอายังไงต่อไปล่ะ อ้ายอัลฟ่า ยานลี้ภัยมันไปได้ไกลแค่ไหนกันว่ะ” บากูโมถ่ายนั่งอยู่ในยานอวกาศขนาดเล็ก ซึ่งเป็นยานลี้ภัยซึ่งนั่งได้เพียงคนเดียว มีอัลฟ่า โดเดกก้า ติดตั้งอยู่ด้านนอกยานควบคุมการเดินทางอยู่ มือกลได้ยึดร่างคนสองคนไว้นอกยาน

<<ผมจะพาท่านลี้ภัยไปยังที่ที่ใกล้ที่สุด และปลอดภัยที่สุดครับท่าน>>

“ฮือ” บากูโมถ่ายพ่นลมหายใจออกทางจมูก และหายใจกลับเข้าไปอีกครั้ง เขารู้สึกอึดอัดกับสถานที่แคบๆ และไม่ชอบการหลบหนี นับเป็นอีกครั้งของการเป็นสุดยอดผู้วิเศษที่ต้องเผชิญกับความรู้สึกตกต่ำ

<<เรากำลังจะเดินทางไปสู่ดวงจันทร์ จากการประมวลผลความปลอดภัย ถือเป็นทางเลือกอันดับหนึ่งครับ>>

“ฮือ” โมถ่ายตอบอย่างไม่ทันฟังว่าหุ่นยนต์พูดอะไร ((ดวงจันทร์เหรอ)) นี่เขากำลังจะไปดวงจันทร์เหรอ ที่ๆ เขาเคยมองมาจากโลก มีเพียงครั้งเดียวในรอบเดือนที่เขาจะมองเห็นมันเต็มดวง และดวงจันทร์ก้มีอิทธิพลมากมายต่อโลกในหลายๆ ด้าน

การเดินทางไปดวงจันทร์ในครั้งนี้ของโมถ่ายเป็นการเดินทางที่ไม่เคยอยู่ในห้วงความคิดเลยแม้แต่นิดเดียว แม้จะเคยคิดเล่นๆ ที่จะมาที่นี่ ซึ่งเขาน่าจะดีใจที่ได้ไปดวงจันทร์ ดาวที่มีผลต่อผู้วิเศษแห่งโลก เขาจะได้รู้สักทีว่ามันมีอะไรที่นั่นบ้าง

ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกถึง ๓๘๔,๔๐๐ กิโลเมตร โคจรรอบโลก ๒๗.๓ วันเทียบเวลาโลก และเคลื่อนตัวด้วยความเร็ว ๑ กิโลเมตรต่อวินาที มีแรงดึงดูดเพียง ๑/๖ ของโลก
เป็นบริวารของโลก มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑/๔ ของโลก และเป็นศูนย์รวมของตำนานต่างๆ ทั่วโลก

แรงดึงดูดของดวงจันทร์ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง ๒ ครั้งต่อวันบนพื้นผิวโลก
สัญลักษณ์รูปจันทร์เสี้ยวยังเป็นเครื่องหมายที่เล็งถึง “จิตวิญญาณ” อีกด้วย

แต่สถานการณ์แบบนี้ไม่เหมาะที่จะมาทัศนศึกษาอะไร เพราะเขาต้องรับผิดชอบชีวิตคนถึงสองคน อีกทั้งยังอยู่ในห้วงอวกาศแบบนี้ ความรู้ที่มีอยู่ในสมองอันซับซ้อนของเขากำลังประมวลผลเอาองค์ความรู้ทั้งหมดที่เขามีเกี่ยวกับดวงจันทร์ เพื่อการเอาตัวรอดในครั้งนี้จะสัมฤทธิ์ผล

ภาพที่คุ้นตายามอยู่บนพื้นโลก คือดวงสว่างสีขาวนวล จนกวีโบราณเอ่ยอ้างนำไปชมหญิงงามที่มีใบหน้าขาวผ่องสดสวยว่างดงามยิ่งพระจันทร์ แต่หากกวีคนใดในโลกได้มีโอกาสที่ได้เดินทางมาใกล้ดวงจันทร์เยี่ยงโมถ่ายในตอนนี้ต้องเปลี่ยนความคิดอย่างเฉียบพลันเพราะในเวลานี้โมถ่ายมองเห็นดวงดาวนั้นใกล้เข้ามาทุกที่ หลุมบ่อหุบเหวชัดเจนยิ่งขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น